Warehouse in case Logistics
Warehouse Process มีส่วนสำคัญในการกระบวนการเชื่อมระบบ Logistics ทั้ง Process ไม่ว่าจะเป็นการรับสินค้าจากผู้ผลิต เก็บรอส่งมอบหรือเข้าสู่กระบวนการจัดส่ง หรือกระบวนการจัดส่ง หรือกระบวนการส่งออกสินค้าไปยัง Store หน้าร้านล้วนมี Warehouse Process ในการเชื่อมระบบ Logistics
คลังสินค้าในฐานะตัวเชื่อมระหว่างหน่วยงานต่างๆในระบบโลจิสติกส์ หมายถึงตั้งแต่รับสินค้าจากผู้ผลิต สมมุติ ทำสวนยาง กรีดยางเสร็จ รีดยางเป็นแผ่นเสร็จ ก็ต้องมีคลังเองเพื่อเก็บยางแผ่นไว้เป็นห้องเล็กๆที่เรียกว่า คลังสินค้าได้ รอปริมาณพอเหมาะค่อยเอาไปขาย เป็นคลังสินค้าระหว่างกลาง จุดเชื่อมระหว่างโรงงานหรือผู้ซื้อกับสวนยางส่งที่โรงงาน
โรงงานต้องมีคลังสินค้าเก็บยางอีกก่อนเข้าโรงงาน เป็นคลังสินค้าคั่น ส่งโรงงานรถยนต์ก็ต้องมีคลังสินค้ารับยางหรือน้ำยางจากชาวสวนไป ทำเป็นยางสำเร็จรูป ต้องมีคลังสินค้าสำหรับเก็บสินค้าที่ผลิตแล้วเช่น โรงงานจะส่งไป B-Quick ตามร้านก็ต้องมีที่เก็บยาง ถือเป็นคลังสินค้าเช่นกัน เป็นแต่ละกระบวนการในระบบโลจิสติกส์ที่จะมีคลังสินค้าคั่นตลอด คลังสินค้าเป็นจุดเชื่อมแทบจะทุกผลิตภัณฑ์จะมีคลังสินค้าตลอด จะมีแค่ สินค้าบริการซึ่งจะไม่มีคลังสินค้า แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ จะมีคลังสินค้าเก็บสินค้าหลังจากการผลิตเสร็จในแต่ละขั้นตอน
ที่บ้านเราก็มีคลังสินค้าเช่นกัน เราซื้อของถ้าเดือนละครั้งต้องเอาของมาเก็บบนตู้แต่ละบ้านก็ต้องมีพื้นที่เก็บของเพื่อจะรอการใช้ จะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณการสั่งซื้อของเราเอง คลังใหญ่ ตู้ใหญ่หมายถึงไปซื้อเดือนละครั้งหรือ 2 เดือนครั้งกับ การไปซื้ออาทิตย์ละครั้งปริมาณการเก็บในบ้านจะต่างกัน ดังนั้นขนาดความใหญ่หรือเล็กของคลังสินค้าขึ้นกับปริมาณการสั่งซื้อ นี่เป็นจุดเชื่อมต่อมาเป็นที่จัดเก็บ
แน่นอน เก็บวัตถุดิบ หรือสินค้าสำเร็จรูป สุดท้ายค่อนข้างสำคัญ เพราะคลังสินค้าเป็นศูนย์กลางสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของหน่วยงานอื่นๆ หมายถึงเป็นศูนย์ข้อมูล เช่นคลังไม่มีระบบคอมพิวเตอร์แต่สามารถทำให้คลังเป็นแหล่งข้อมูลได้ง่ายๆเดินเข้าคลังเจอสินค้าตัวไหนที่มีฝุ่นจับหนา เพราะขายไม่ดี เป็นศูนย์ข้อมูลก็ต้องบอกฝายขายได้ว่าสินค้าตัวนี้ขายไม่ดี ต้องแจ้งไปที่ฝ่ายผลิตว่า สินค้าที่ซื้อมาหรือผลิตมาตัวนี้ขายไม่ดี เป็นศูนย์กลางข้อมูลโดยดูด้วยตาเปล่า ตัวไหนขายดีไม่มีฝุ่นจับเข้ามาแล้วออก เป็นการใช้คลังสินค้าที่เป็นประโยชน์ได้แม้ไม่มีระบบคอมพิวเตอร์แต่ถ้ามีระบบคอมพิวเตอร์ จะรู้อีกว่าตัวไหนเข้าบ่อยออกบ่อย
เมื่อก่อนคลังสินค้าเท่าที่สัมผัสโดยมากฝ่ายขายหรือฝ่ายผลิตจะซื้อ หรือผลิตโดยไม่สนใจ ส่วนคลังก็มีหน้าที่รับสินค้าอย่างเดียว ส่งอะไรมารับหมด จะไม่มีข้อมูลอะไรย้อนมา ในยุคนี้จะเปลี่ยนไป
คลังสินค้าจะมี ข้อมูลกระตุ้นฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ว่าผลิตมาทำไม เก็บเสร็จไม่ยอมออกเลย หรือผลิตมาขายไม่ออก ทุกวันนี้ฝ่ายตลาดก็เช็คข้อมูลจากคลังสินค้าว่าตัวไหนขายดี ตัวไหนขายไม่ดี เดินดูได้เลย ถ้าไม่มีระบบแต่ถ้ามีระบบคอมพิวเตอร์ ก็ดูจากระบบคอมพิวเตอร์ได้เลย
บทบาทของคลังสินค้า แต่ละกระบวนการในระบบซัพพลายเซนจะมรคลังสินค้าคั่นตลอดเวลา แม้แต่ปลายทาง Consumer ที่บ้านเราก็มีคลังสินค้าย่อมๆ มีตู้เก็บ เป็นต้น
กระบวนการในคลังสินค้ามี 3 อย่าง รับ เก็บ จ่าย แต่ว่าในแต่ละกระบวนกานจะมีรายละเอียดย่อยอีก เช่น การรับ อาจจะไม่ได้รับจากผู้ผลิต หรือการซื้ออย่างเดียวแต่มีการรับคืนของจากลูกค้าด้วย การรับ ถ้าจะซื้อ ก็รับเข้ามาเลย ส่วนการคืนจากผู้ซื้อเกิดจากลูกค้าซื้อไปแล้วคืนของมาต้องรับกลับมาใหม่ โอนสินค้าหมายถึง ถ้าบริษัทมีโรงงานผลิตด้วย โดยปกติจากโรงงานเข้าคลังสินค้าจะเป็นการโอนสินค้ากัน เป็นตัวบริษัทเดียวกัน
เป็นการโอนข้อมูลจากโรงงานมาที่คลังสินค้า เมื่อรับมาแล้วต้องมีการตรวจรับ ตรวจคุณภาพ อาจต้องรีแพ็คการบรรจุใหม่ ฉลากบางที่บังคับ สคบ. เป็นต้น
เป็นกระบวนการภายในคลังก่อนจะจัดเก็บ หรือจัดเก็บแล้วค่อยติดก็ได้ ในคลังจะมีขั้นตอนการตรวจสอบสินค้า ตรวจสอบคุณภาพ เว่นที่บริษัทมีอาหารสด รับจากผู้ผลิตจะต้องมาตรวจสอบคุณภาพผ่าน QC ว่าไม่มีเชื้อโรคติดไม่มีแมลงวันมาด้วยหรือไม่มีการตรวจนับ คือหลังจัดเก็บเป็นการเช็คสต๊อกจะเป็นเดือนละครั้ง หรือปีละ 2 ครั้ง ก็แล้วแต่กำหนด และในคลังต้องมีการเคลื่อนย้ายสินค้าจากบนลงล่าง จากข้างนอกเข้าข้างใน ฯลฯ มีกิจกรรมแบบนี้ตลอดเวลาในคลัง ไม่ใช่การจัดเก็บเฉยๆ เพราะบางทีเก็บแล้วอาจจะมีปัญหาต้องย้ายไปอีกจุดหนึ่ง
ส่วนขาออกมีส่งสินค้าให้ลูกค้า คืนผู้ขาย หมายถึงเมื่อซื้อสินค้ามาเกิดพบว่าคุณภาพไม่ดีไม่ผ่าน QC ต้องคืนผู้ขายไป การโอนสินค้า ถ้ามีโรงงานเองผลิตเสร็จ โอนสินค้าเข้าคลัง คลังโอนไปฝ่ายขายหรือหน้าร้านต่างๆเป็นการโอนสินค้าไม่ใช่การขาย การซื้อ สรุปคือ กระบวนการคลังสินค้ามี 3 อย่างคือ รับ เก็บ จ่าย โดยแต่ละขั้นตอนจะมีนรายละเอียดย่อยไปอีก
กิจกรรมภายในคลังสินค้ามีการรับสินค้า รับจากผู้ผลิต ผู้ขาย ใครก้ตามมีการลงสินค้า ตรวจสอบคุณภาพ จำนวนและบันทึกข้มูล บันทึกการรับ โดยสามาารถคีย์เข้าระบบคอมพิวเตอร์ได้ หรือไม่มี จะเป็นสต๊อกการ์ดต่างๆ จดบันทึกเข้าไป จัดเก็บ คือการรับแล้วจัดเก็บ จะวางหรือเก็บที่ไหน ถ้าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ดีเครื่องจะหาสถานที่จัดเก็บให้เลย ถ้าเป็น manual ใช้พนักงานเดินดูที่ว่างเพื่อจัดเก็บ เคลื่อนย้ายวัสดุสินค้า คือเคลื่อนย้ายตามความเหมาะสม
ถ้าเก็บแล้วหลังคารั่วก็ต้องย้าย เพื่อหาทางจัดเก็บใหม่ให้เหมาะสม การจ่ายสินค้าจะมีการเบิก คือมีคำสั่งจากลูกค้า มีการเบิกสินค้าออกจากสถานที่จัดเก็บ และจัดส่งให้ลูกค้าการจัดส่งต้องมีการวางแผนการจัดส่งด้วย เบิกแล้วต้องวางแผน ไม่ใช่เบิกมาวางทิ้งไว้ รถบรรทุก รถจัดส่งยังไม่มา หรือบางที่จัดส่งให้ลูกค้าหลายเจ้า ต้องจัดสายรถขนส่งไปเส้นทางไหนบ้าง เส้นทางนี้จะส่งลูกค้ากี่เจ้า
สุดท้ายเป็นกิจกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม มีการตรวจนับ มีการรีแพ็ค การบรรจุสินค้าใหม่ แปะฉลาก ถ้ามีการซื้อดินสอแถมยางลบ ผู้ผลิตอาจไม่ได้แพ็ครวมมาให้แต่เรามีมูลค่าเพิ่มของสินค้าเอง ต้องรีแพ็คใหม่เอาดินสอมารวมกับยางลบ เพื่อขายให้ลูกค้าใหม่ หรือ มีสินค้านำเข้าจากจีนมาก บังคับว่าต้องมีฉลากแปะว่าผลิตจากใคร ผลิตตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซึ่งไม้ได้ติดมาจากจีน ต้องมาทำเอง เป็นกิจกรรมที่สร้างมูลค่าให้
เป้าหมายมีอะไร ส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลาและครบตามความต้องการ หลายที่มีปัญหาว่าส่งไม่ตรงเวลา ช้าและไม่ครบสินค้าแตกหัก ขาดเกิน เสียหาย ดังนั้นเป้าหมาย ส่งให้ตรงเวลาตามนัดหมายและตามความต้องการ บางที่ระบุเวลาชัดเจนต้องไปให้ตรงเวลา มีต้นทุนต่ำ ทำอย่างไร อยากส่งสินค้าให้ตรงเวลาจะส่งทางเครื่องบินเพราะมีเวลาแน่นอน แต่ต้นทุนสูง ดังนั้นต้องดูว่าจะเลือกอย่างไรให้ตรงเวลาและให้ต้นทุนต่ำที่สุด
เราเคยคุยกับไปรษณีย์ไทย เดิม EMS จะส่งทางเครื่องบิน ต้นทุนสูง แต่ปัจจุบันด้วยความจุของถนนเป็น 4 เลน ถ้าส่งไปสุราษฎร์ธานี จะเร็วขึ้น เปลี่ยนจากเครื่องบินมารถแทน เวลาจะได้เท่าเดิมแต่ เปลี่ยนโหมดในการขนส่งให้ประหยัด
มีรอบหมุนเวียนของสินค้าสูงสุดคลังไม่ได้จัดเก็บอย่างเดียวจะต้องพยายามรับสินค้าและจ่ายออกไป คือการหมุนเวียนเข้า แล้วออก ถ้าเข้ามา 2 เดือน 3 เดือนแล้วไม่ออก มีปัญหาแล้ว เข้ามา 1 อาทิตย์ออกไปเลยถือว่าดีต้องมากำหนดว่าํธุรกิจเราเป็นแบบไหน ต้องสต็อกสินค้าแค่ไหน บางธุรกิจอาจไม่เกิน 2 เดือน 3เดือนแล้วแต่ ถ้าเป็นธุรกิจนำเข้าสินค้าเข้ามา เวลาในการส่งสินค้าจากยุโรปเข้าอาจจะ 1 เดือน ก็ต้องมีสต็อกตุนไว้ 1 เดือน คือสินค้า จะเข้ามา จะเข้ามาเดือนหน้าต้องมีสต็อกไว้พอขาย 1 เดือนขึ้นกับธุรกิจว่าต้องกำหนดให้ชัดเจน อาจจะเฉลี่ย 15 วันก็ได้ และต้องติดตามตัวไหนที่เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ต้องมีการทำอะไรกับมัน ด้วยความเสียดายแต่เก็บไว้ เป็นต้นทุนที่จมอยู่ ถ้าไม่ขายเลยก็ไม่มีทุนหมุนทุนหมุนเวียนอาจจะต้องมีการทำโปรโมชั่นเพื่อผลักสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวออกไป
มีความยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หมายถึง ลูกค้าสั่งตอน 10 โมง 10.30 น. โทรมายกเลิก ืเรายกเลิกได้หรือไม่ ลูกค้าสั่ง 10 โมงสินค้า A11 โมงโทรมาเปลี่ยนเป็นสินค้า B ได้หรือไม่ เป็นความยืดหยุ่นเพราะลูกค้ามีความต้องการไม่เหมือนกัน ต้องมีระบบจัดการ ต้องมีความยืดหยุ่นแค่ไหนตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หรือไม่เพราะความต้องการของลูกค้าจะหลากหลายแล้วแต่ธุรกิจ
คุณภาพการให้บริการ คุณภาพต้องสม่ำเสมอ ไม่ใช่คุณภาพแค่วันเดียวหรือเดือนเดียว และต้องปรับปรุงคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีการเลือกว่าสินค้าส่งให้ใคร เคยมีตัวอย่างเช่น ยาที่ราคาแพง เดิมพนักงานด้วยความที่อยากประหยัดเงินให้บริษัท เอากล่องพวกเครื่องเขียน น้ำปลา กล่องเก่ามาบรรจุยาส่งให้โรงพยาบาล ลูกค้าโทรมา ซื้อยาเป็นพัน ทำไมส่งกล่องแบบนี้มา ดังนั้นต้องเลือกสินค้า ส่งโรงพยาบาลต้องสะอาดเรียบร้อย
ประโยชน์ของคลังสินค้า เพื่อลดต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ลดอย่างไร ตัวอย่าง กรีดยาง รีดยางเป็นแผ่นวันหนึ่งรีดได้ 10 แผ่นเก็บไว้ระยะหนึ่ง 10วันได้ 100 แผ่น วิ่งรถ 1 รอบไปส่งโรงงาน ประหยัดค่าขนส่ง ถ้าไม่มีคลังรีดได้ 10 แผ่น ก็ต้องส่งทุกวัน เปลืองค่าขนส่งทันที คลังสินค้าเป็นตัวเก็บหลังผลิตเสร็จ เพื่อประหยัดค่าขนส่งได้ การถ่วงดุลย์อุปสงค์ อุปทานคือสินค้าตามฤดูกาล สินค้าที่มีราคาไม่แน่นอน ถ้ารู้ว่าปีหน้าน้ำตาลจะขึ้นราคา อาจจะสต็อกมีคลังใหญ่สต็อกได้มาก หรือเทสโต้ เป็นสินค้าตามฤดูกาล มันฝรั่งไม่ได้มีทุกฤดู ก็ต้องมีการกักตุนสินค้าผลิตเสร็จต้องเก็บ
ในปีหนึ่งปริมาณสินค้าที่เก็บอาจไม่เท่ากันหน้าร้อนอาจจะมากกว่า เช่น โลตัส มีช่วงปลายปีกับช่วงสงกรานต์ที่เก็บสต็อกสินค้าเพราะถ้าไม่ตุนไว้ แต่ช่วงนั้นเกิดขายดี สินค้าจะไม่พอขาย เช่นรู้ว่าต้นปีเดือนมกราคมขายดี ก็ต้องเริ่มสั่งสินค้าเข้ามาตั้งแต่พฤศจิกายนเพื่อกักตุนสินค้า เพื่อถ่วงดุลย์อุปสงค์อุปทานต่างๆ
ช่วยกระบวนการผลิตคือ โรงงานผลิตมาส่วนมากจะไม่มีที่เก็บ ผลิตมาจะส่งให้คลังสินค้า โรงงานต้องรันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ซื้อเครื่องจักรมาแล้วต้องทำงาน 24 ชม. แต่ไม่ได้ขายของ 24 ชม. จะต้องมีคลังเพื่อเก็บสินค้าเพื่อรอขาย กระบวนการตลาด ถ้ามีคลังสินค้ามากส่งสินค้าขายทั่วประเทศ อยากส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ภายใน 2 ชม.
ต้องมีคลังสินค้าย่อยในจังหวัดต่างๆเป็นการช่วยขาย อาจจะมีคลังสินค้าที่ขอนแก่นเพื่อกระจายสินค้าในภาคอีสานเพื่อช่วยการตลาด ฝ่ายขายออกไปขายของจะส่งสินค้าภายใน 3 ชม. ก็ดึงสินค้าจากขอนแก่นไปขายที่อุดรได้ทันแต่ถ้าคลังอยู่ที่กรุงเทพที่เดียวลูกค้าที่อุดรจะได้รับของภายใน 3 ชม.ไม่ได้
คลังสินค้าเป็นตัวเชื่อม และเป็นตัวจัดเก็บสินค้าซึ่งแบ่งเป็น 2 อย่างคือ จัดเก็บชั่วคราวกับจัดเก็บกึ่งถาวร หมายถึงยังไม่มีการจัดเก็บแบบถาวร คลังสินค้า คือ ซื้อมาขายไปผลิตมาเก็บและส่งให้ลูกค้าห้ามมีการเก็บถาวรโดยเด็ดขาด คือผลิตมาซื้อมาแล้วขายไม่ออก แบ่งเป็น 2 แบบ ซึ่งแล้วแต่ธุรกิจจะใช้อะไรเป็นตัวแบ่ง
หน้าที่ของคลังสินค้า สนับสนุนการผลิต เช่น มีโรงงานผลิตรถยนต์ ต้องมีซัพพลายเออร์มาส่งสินค้าให้โรงงาน เช่น ผู้ผลิตเบาะ ผู้ผลิตยางรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ต้องมาส่งสินค้าให้โรงงานประกอบรถยนต์
แทนที่โรงงานจะรับสินค้าโดยตรงจากซัพพลายเออร์ต่างๆจะเสียเวลาคือ โรงงานจะโฟกัสที่การประกอบรถยนต์ ไม่ได้โฟกัสที่การรับสินค้า เสียเวลา จึงต้องมีคลังสินค้าคั่นกลาง เช่นมีซัพพลายเออร์อยู่ 100 เจ้า คลังสินค้าก็รับมา 100 เจ้า โรงงานต้องผลิตกี่คัน เช่น 100คัน ก็ส่งสินค้าที่โรงงานไป 100 ชุด คือช่วยการทำงานของโรงงานได้แทนที่โรงงานมารับสินค้าจากซัพพลายเออร์ 100 เจ้า รับสินค้าเจ้าเดียวคือ ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ 100 ชุดครั้งเดียว ผลิตได้ 100 คันไม่ต้องเสียเวลาเรื่องการตรวจรับ ตรวจนับ ตรวจคุณภาพ สินค้าต่างๆตรงนี้เป็นตัวสนับสนุนการผลิต โรงงานจะโฟกัสเรื่องการผลิตอย่างเดียวมีหน่วยงานรับสินค้าโดยเฉพาะโรงงานต้องการเท่าไหร่ส่งเท่านั้นที่เหลือจัดเก็บต่อ
ตัวคลังมีคั่นกลางรับมาจากซัพพลายเออร์หลายเจ้าวิ่งรถมาคันเดียวจะส่งลูกค้าหรือโรงงานก็แล้วแต่ แต่รถคันเดียว มีหลายสินค้าเป็นรูปแบบที่ใช้อยู่ รับจากหลายเจ้า เช่น สั่งแชมพู สบู่ กระดาษทิชชู 3 เจ้าวิ่งไปรถคันเดียวมีสินค้า 3 อย่างไปด้วยกันลูกค้าได้สินค้าครบตามความต้องการ ไปรถคันเดียวได้หลายสินค้า แทนที่จะมี 3 คันวิ่งไปถ้ามีคลัง มีโรงงานผลิตหรือคลังสินค้าใหญ่ที่กรุงเทพฯ มีคลังสินค้าอีกที่ขอนแก่น บอกว่าจะกรัจายสินค้าจากขอนแก่นไปรอบๆแถบนั้นโดยวิ่งรถเล็กได้เป็นการกระจายสินค้าเป็นรูปแบบการใช้คลังสินค้า ดังนั้นคลังสินค้าจึงเป็นที่รวมสินค้าและกระจายสินค้า
ศูนย์กระจายสินค้าคือ รับในปริมาณมากและส่งออกในปริมาณมากแต่รับทีละเจ้า ถ้าเป็นสินค้า A ก็รับ A อย่างเดียว จากนั้นขาส่งออก จะมีสินค้าหลากหลายปนกันไปที่สาขา จะมีแชมพู สบู่ กระดาษทิชชู น้ำดื่ม เป็นที่ต้องการมาก ถ้าให้ซัพพลายเออร์ไปส่งที่สาขาโดยตรงทางสาขาแทนที่จะขายสินค้าได้ ก็ต้องมารับสินค้าด้วยเสียเวลา เป็นการทุ่นเวลาให้สาขาโดยการส่งให้ทีเดียวโดยได้ทุกอย่างที่ต้องการในรถคันเดีรยว ที่ส่งไปรับครั้งเดียวได้สินค้าตามที่ต้องการ แทนที่ซัพพลายเออร์ต้องไปส่งและใช้รถ 3 คัน ก็ใช้คันเดียว พื้นที่สาขาที่มีจำกัดจะลดลง เรื่องการจราจรแออัดในสาขาจะน้อยลง พนักงานจะรู้แน่นอน เช่นไปส่งเชียงใหม่ บอกว่าจะส่งให้ทุก 10 โมงเช้าที่สาขาจะแบ่งพนักงานมารับสินค้าทุก 10 โมงเช้าจะทำงานง่ายขึ้น ถ้ารอให้ซัพพลายเออร์มาส่ง 3 เจ้า 3เวลาหรือมีส่งกลางคืนอีก การบริหารจัดการจะยากขึ้น ต้องมีคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้ามาคั่น และเป็นการลดต้นทุนด้วยซัพพลายเออร์ก็ชอบเพราะวิ่งรถใหญ่มาครั้งเดียวเช่น กระดาษเซลล็อกแทนที่จะไปส่งเชียงใหม่ก็ไปส่งที่เชียงรายด้วย
การสร้างคลังสินค้าต้องมีสถานที่และการออกแบบ เลือกสถานที่ เช่นบริษัทเครื่องดื่มแห่งหนึ่งมีโรงงานที่อยุธยาและนครปฐม และมีลูกค้าทุกจังหวัด ต้องส่งสินค้าที่ผลิตไปทุกจังหวัดจะทำอย่างไร ถ้ามีโรงงานผลิตเสร็จเก็บไว้ที่โรงงานกระจายไปที่ลูกค้าต่างๆ แต่ละโรงงาน เช่นวิ่งไปเชียงใหม่ จากทั้งสองโรงงานเท่ากับใช้รถ 2 คัน วิ่งไปเชียงใหม่เหมือนกัน จะเห็นว่าแต่ละจังหวัดจะมาจาก 2 โรงงานโดยรถ 2 คันตลอด
การเลือกสถานที่ให้ดูจากยอดขายก่อน โดยทำการแบ่งยอดขายแต่ละจังหวัดออกมาดูว่าจังหวัดไหนขายดีไปตั้งคลังที่นั่นเพราะจะได้ใกล้ลูกค้าเมื่อลูกค้าสั่งมากจะได้รับทันทีภายใน 2-3 ชม. ตั้งคลังสินค้าใกล้ ลูกค้าในแหล่งลูกค้า มาดูจังหวัดไหนที่ขายดี จากนั้นแทนที่จะใช้รถปิคอัพ 6 ล้อวิ่งจาก 2 โรงงานไปที่คลังสินค้าย่อยเดียวกัน ก็เปลี่ยนเป็นรถเทเลอร์ ขนาดใหญ่ 10 ล้อรถพ่วงก็ได้วิ่งไปทีเดียว
ก่อนออกมาเป็นรูปแบบนี้ด้วยปริมาณสินค้า คุ้มที่จะสร้างคลังสินค้า 10 -20 ล้านบาทในระยะยาวจะคุ้มเพราะค่าน้ำมันจะสูงขึ้น ค่าบำรุงรักษารถ เดิมเป็น 6 ล้อวิ่งไปต่างจังหวัดมากจะเหลือรถคันใหญ่คันเดียว คนขับก็จะกระจายสินค้า ซึ่งเอารถ 6 ล้อที่เหลือไปกระจายในภูมิภาคได้เรียกว่า Hub and Spoke คล้ายดุมล้อจักรยานหรือเป็นศูนย์กลางซีกๆเป็นการกระจายสินค้าไปรอบด้าน แตละที่เป็นฮับ ศูนย์กระจายสินค้าของแต่ละภาค
การเลือกอันแรก ที่ที่ขายดี ลูกค้าอยู่ที่ไหนตั้งที่นั่น ใกล้โรงงานด้วยเพราะผลิตเสร็จก็ต้องมีที่เก็บด้วย ติดถนนใหญ่เพราะเดิมส่งเป็นปิคอัพกับ 6 ล้อ อาจไม่ต้องพึ่งถนนใหญ่ เมื่อเปลี่ยนไปเป็น 10 ล้อ เทลเลอร์ต้องใช้ถนนใหญ่ดูข้อจำกัดประเภทรถ หรือที่ขอนแก่น เชียงใหม่จะติดเวลาเหมือนกรุงเทพฯ ถ้าไว้ในตัวเมืองจะมีปัญหารถใหญ่เข้าไม่ได้ ต้องเลือกให้เหมาะกับรถขนส่ง เป็นกรณีที่ทำมาแล้วสนามารถลดต้นทุนได้ภายในเวลา 5 ปี คลังจะลงทุนครั้งเดียวใช้ได้ 10 ปี ตัดค่าเสื่อม 10 ปี ระยะยาวจะคุ้มมากแต่ก็มีปัญหาเหมือนกัน
จะควบคุมอย่างไรถ้ามีการสร้างฮับต่างๆในภูมิภาคต้องคุมสต็อกให้ดี เพราะจะมีปัญหาทันทีว่าสินค้าขาดที่หนึ่งแต่มากอีกที่หนึ่ง จะแก้ไขอย่างไร อาจจะใช้ระบบเข้ามาวิเคราะห์มากขึ้นที่ไหนขายอะไรได้ดีก็เพิ่ม
คอสดร็อกการเอาสินค้าไปตามภูมิภาคใช้วิธี คอสดร็อกกิ้ง คือส่งไปแล้วไม่ต้องจัดเก็บส่งไปแล้วกระจายไปยังลูกค้าเลย เป็ยวิธีการแก้ถ้าตัดสินใจว่าจะสร้างคลังสินค้าตามภูมิภาคต้องดูว่าที่ไหนต้องการอะไรไม่ใช่ส่งไปเกินที่หนึ่ง อีกที่หนึ่งไม่พอ ต้องเสียค่าขนส่งเพื่อโอนย้ายสินค้า
การสร้าง การเช่าหรือจะ Out source ซื้อคลังสินค้าเดิม เช่น ที่ขอนแก่นก่อนเข้าเมืองจะมีคลังสินค้าให้เช่าหรือขายที่มีการสร้างไว้ก่อนก็สามารถเอามาใช้ได้เลย การสร้างใหม่ลงทุนซื้อที่หรือมีที่อยู่แล้วการสร้างต่างกันอย่างไร การสร้างใหม่สามารถออกแบบใหม่ได้ แต่ถ้าซื้อหรือเช่า เป็นของที่ทำมาแล้วต้องดูว่าเหมาะสมกับธุรกิจเราหรือไม่ เช่นถ้าธุรกิจเราใช้รถเทลเลอร์ขนส่งสินค้าต้องหาคลังสินค้าที่ยกพื้นเพระารถเทลเลอร์จะสูงกว่าปิคอัพ คลังต้องยกสูงเพื่อให้รถเทลเลอร์สามารถเข้ามายกของได้ถนัดถ้าไม่มีก็ต้องสร้างใหม่ Outsource คือการให้บริหารจัดการเสร็จ จ้างทำการขนถ่าย รับสินค้ากระจายสินค้าให้หมดคุมสต๊อกให้หมด ผลิตคลังใหญ่ที่กรุงเทพและส่งไปที่ขอนแก่น ที่ขอนแก่นจะ Outsource ดูแลทั้งการจัดเก็บ การส่ง การกระจายสินค้าให้ลูกค้่าด้วยไม่ต้องส่งพนักงานไป แต่ต้องควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของ Outsource ว่าทำงานดีหรือไม่ อาจจะมี KPI วัด หรืออาจมีการเข้าไปตรวจสต๊อก สินค้าครบหรือไม่ เก็บสต๊อกตรงหรือไม่ต้องเลือกว่าต้องการแบบไหนตามความเหมาะสม
จะเลือกคลังสินค้าขนาดแค่ไหนมีจำนวนแค่ไหน ขึ้นกับอะไรเป็นข้อหลักๆคือ
1. ระดับการให้บริการลูกค้า เช่นถ้าอยากส่งสินค้าให้ลูกค้าเร็วๆ 1- 2 ชม.ต้องได้ ก็อาจต้องมีคลังสินค้าจำนวนมากตามจังหวัดต่างๆ แต่หากส่งใน 24 ชม.ก็อาจมีที่เดียวที่กรุงเทพ และกระจายใน 24 ชม. หรือ 48 ชม.ตามอำเภอ ตามตำบล อยู่ที่การกำหนดการให้บริการ
2. นโยบายสินค้าคงคลัง ที่มีนโยบายเก็บสินค้าไว้ 15 วันกับ 30 วัน จะต่างกัน ปริมาณสินค้าก็ต่างกันถ้านโยบายเก็บ 30 วันคลังสินค้าจะมีขนาดหนึ่งถ้าลด 15 วัน จะเหลือครึ่งหนึ่งจะต้องมีการกำหนดเฉลี่ยค่าสินค้าคงคลังจะเก็บไว้มากน้อยแค่ไหน
3. แผนธุรกิจ ถ้าบอกว่าอีก 5 ปีจะมีลูกค้าจาก 100 เจ้าเป็น 1000 เจ้า ต้องมีการเก็บสต๊อกมากขึ้นอีก 5 ปีจะทำอย่างไรที่จะส่งลูกค้่าให้ได้ 1000 เจ้า ต้องมีประตูส่งสินค้ามากแค่ไหน ต้องมีท่าส่งสินค้า ท่ารับสินค้าใหญ่แค่ไหนขึ้นกับแผนธุรกิจ เช่น โลตัสเอ็กซ์เพรส เดิมจะมี 30 สาขาอยู่ดีๆเปลี่ยนแผนธุรกิจ ขยายมากขึ้นให้เป็น 500 - 600 สาขา ตัวคลังสินค้าที่มีรองรับไม่ได้เพราะเล็ก ประตูส่งสินค้าให้สาขามีแค่ 4 - 5 ประตู เมื่อสาขาเกิน 400-500 สาขาประตูไม่พอทันที จะทำอย่างไร ตัวคลังสินค้าไม่เหมาะกับแผนธุรกิจต้องเปลี่ยนหรือย้ายที่
4. รอบเวลาของกิจกรรม ตัวอย่างสินค้านำเข้าจากยุโรป หรืออเมริกาใช้เวลาส่งหรือรับสินค้าประมาณ 1 เดือนต้องมีการจัดเก็บ 1 เดือนเช่นกันสั่งเดือนนี้ได้ของเดือนหน้า ระหว่างนี้ต้องมีการสต๊อกเพื่อให้พอขายดังนั้นจึงขึ้นกับรอบการจัดซื้อ ถ้าบอกว่าซื้อวันพรุ่งนี้รับสินค้าได้เลย ก็ไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้มากเพราะภายใน 24 ชม.สั่งแล้วรับสินค้าเลยสต๊อกไว้เล็กน้อยก็พอ
5. ผังการเคลื่อนย้ายและการจัดวาง ตัว Lay Out ของคลัง ในคลังวางจัดเรียงแบบไหน มีแลคสูงกี่ชั้น หรือวางระนาบกับพื้น ถ้าบอกว่า สินค้าวางพื้นอย่างเดียว คลังสินค้าวางได้ 100 พาเลต เช่าให้พอเก็บที่ต้องการ แต่ถ้าสร้างแล๕ขึ้นมา 5 ชั้น พื้นที่จะลดลงเก็บในแนวตั้งมากขึ้น แนวนอนจะประหยัดค่าใช้จ่ายลง ถ้าเก็บได้ 2 ชั้น 100 พาเลต ถ้าสินค้าวางซ้อนได้ จากเดิมต้องเช่าพื้นที่ 100 ตารางเมตร เหลือ 50 ตารางเมตร เพราะสินค้าวางซ้อนได้ อยู่ที่ลักษณธสินค้าว่าวางซ้อนได้หรือไม่ เป็นรูปแบบการจัดวางสินค้า ถ้ายิ่งวางได้หลายชั้นยิ่งประหยัดค่าเช่า เพราะพื้นที่ในการเช่าลดลง พื้นที่ในการจัดเก็บน้อยลง การเช่าคลังเป็นตารางเมตร ตามพื้นราบ ไม่ได้เช่าตามความสูงดังนั้นหากจัดเรียงสินค้าได้สูงจะประหยัดค่าเช่า
6. พื้นที่สำนักงาน ในคลังต้องมีสำนักงานหรือไม่ เช่นในคลังมีฝ่าย Customer Service อยู่ด้วยต้องมีคลังใหญ่ขึ้น มีพื้นที่สำนักงานที่ใหญ่ หากมีฝ่ายจัดซื้อด้วยก็ต้องมีสำนักงานให้ด้วย ต้องคำนึงว่าจะเป็นคลังอย่างเดียวหรือมีสำนักงายอยู่ด้วย และมีแผนกไหนบ้าง
7. ขนาดของสินค้า เช่น เก็บเทสโต้เป็นมันฝรั่งกล่องใหญ่ๆ ถ้าสินค้าเป็น วัคซีน ยา เข็มฉีดยา จะเล็ก ขนาดของคลังสินค้าขึ้นอยู่กับขนาดของสินค้าด้วย
8. ข้อจำกัดของสินค้า คือ สินค้าบางตัวอยู่ใกล้กันไม่ได้ เช่นสบู่จะอยู่ใกล้ทิชชูไม่ได้ เพราะทิชชูดูดกลิ่น ถ้าเอาทิชชูวางใกล้สบู่นกแก้ว กลิ่นสบู่จะติดแน่ๆ ต้องมีพื้นที่แบ่งชัดเจนตามกลุ่มสินค้า หรือถ้าบางที่มีสารเคมีก็ต้องแบ่งพื้นที่ เช่น ของอุปโภค บริโภคที่ทานได้จะไม่อยู่ใกล้สารเคมี เช่นน้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างจาน จะต้องแบ่งพื้นที่ชัดเจน พื้นที่ต้องใหญ่ขึ้น หรือต้องเก็บสินค้าในห้องแอร์ บางตัวแอร์ 25 องศา บางตัวแอร์ 1 องศา บางตัวต้องติดลบ ก็ต้องมีพื้นที่ชัดเจนในการสร้างคลังสินค้า เป็นข้อจำกัดของแต่ละสินค้า
9. ปริมาณสินค้าเข้าออก จะสอดคล้องกับแผนธุรกิจ ถ้าธุรกิจมีลูกค้ามากขึ้นขยายมากขึ้นต้องมีการเก็บสต๊อกมากขึ้น ปริมาณสินค้าเข้าออกจะมากขึ้นด้วย ปริมาณสินค้าเข้าออกจะสัมพันธ์กับจำนวนประตู ในการรับการจ่ายสินค้า ลูกค้าเดิมมี 30 เจ้า อาจจะใช้รถแค่ 3-4 คัน คันหนึ่งส่งได้ 10 เจ้า เมื่ีอลูกค้าโตเป็น 400 เจ้า จาก 10 คันอาจต้องเพิ่มเป็น 100 คันหรือไม่ด้วยเวลาเท่าเดิมที่ทำประมาณ 10 ชม. ต่อวัน เดิมมีรถ 3-4 คัน เป็น 100คันจะทำอย่างไร ประตูต้องหมุนเวียนสินค้าเมื่อมีรถมารับ ขนขึ้นเสร็จต้องรีบออกไป
การหมุนเวียนของการใช้ประตูต้องเร็วมากขึ้นประตูพอหรือไม่ในการรับการจ่ายสินค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น